เบรกเกอร์ MCCB คืออะไรและทำหน้าที่อะไร

article circuit breaker siemens

เบรกเกอร์ MCCB คืออะไรและทำหน้าที่อะไร

หลายคนอาจสับสนกับชนิดของเบรกเกอร์ที่มีมากมายหลายประเภทตามแรงดันไฟฟ้าและตามการใช้งาน ก่อนที่เราจะพูดถึงเบรกเกอร์แบบ MCCB หรือ Molded Case Circuit Breaker เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่าเบรกเกอร์คืออะไร

เซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker) หรือเบรกเกอร์ เป็นอุปกรณ์ป้องกันวงจรไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้าเกินหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ทำงานโดยการตัดกระแสไฟฟ้าหลังจากตรวจพบความผิดปกติในวงจรไฟฟ้า โดยจะเปิดและปิดวงจรแบบไม่อัตโนมัติ (สวิตช์เปิด-ปิดด้วยมือ) รวมถึงสามารถเปิดวงจรอัตโนมัติเมื่อกระแสไหลเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ สังเกตได้จากด้ามจับคันโยกที่จะเลื่อนมาที่ตำแหน่ง Trip (อยู่กึ่งกลางระหว่าง ON และ OFF) เมื่อทำการแก้ไขเรียบร้อยก็จะสามารถโยกเลื่อนกลับไปต่อใช้งานได้เช่นเดิมโดยที่ตัวเบรกเกอร์เองไม่ได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินหรือลัดวงจรได้เช่นเดียวกับฟิวส์ แตกต่างกันตรงที่ฟิวส์จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่เมื่อทำการเปิดวงจรหรือตัดวงจร ในขณะที่เบรกเกอร์สามารถที่จะปิดหรือต่อวงจรได้ทันทีหลังจากแก้ปัญหาความผิดปกติในระบบแล้ว

MCCB

MCCB เซอร์กิตเบรกเกอร์สำหรับกลุ่ม Low Voltage

เบรกเกอร์มีหลายชนิดตามพิกัดแรงดันไฟฟ้า ตั้งแต่เบรกเกอร์ขนาดเล็กสำหรับป้องกันวงจรที่มีกระแสไฟฟ้าต่ำ (Low Voltage) หรือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ไปจนถึงสวิตช์ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันวงจรไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage) ที่จ่ายไฟให้ตัวเมือง

MCCB (Molded Case Circuit Breaker) คือเซอร์กิตเบรกเกอร์ในกลุ่ม Low Voltage สำหรับระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำที่น้อยกว่า 1,000V เหมาะสำหรับงานทั่วไป งานเชิงพาณิชย์ อาคารขนาดใหญ่ และโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทนกระแสลัดวงจร (kA) และสามารถรองรับกระแสที่สูงกว่าเบรกเกอร์ลูกย่อย (MCB) โดยมากมักถูกติดตั้งในตู้โหลดเซ็นเตอร์

3VM/3VA Molded Case Circuit Breakers จาก Siemens

ใครที่กำลังมองหา MCCB ไปใช้งาน เซอร์กิตเบรกเกอร์รุ่น 3VM/3VA ของ Siemens ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้ง 2 รุ่นเป็นอุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ แบ่งตามระดับการป้องกันที่ต่างกันเพื่อความเหมาะสมในการใช้งานทั้งในโรงงาน โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย รวมถึงอาคารอื่นๆ ทั่วไป ตัวเบรกเกอร์มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพสูงและมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย ได้คุณภาพตามมาตรฐานของซีเมนส์ แบรนด์ชั้นนำระดับสากลจากประเทศเยอรมัน

3VM/3VA มีขนาดเล็กแต่ครอบคลุมฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น

  • ชุดอุปกรณ์พื้นฐาน (Thermal-magnetic principle trip unit) สำหรับป้องกันไฟฟ้ากระแสเกินหรือกระแสลัดวงจร ช่วยลดต้นทุนในการติดตั้ง ประหยัดค่าใช้จ่าย
  • สามารถทำงานภายใต้อุณหภูมิสูงสุด +50° C โดยไม่มี Derating
  • อุปกรณ์เสริมสามารถใช้เชื่อมต่อกับเซอร์กิตเบรกเกอร์ได้ทุกขนาดทั้งภายในและภายนอก
  • สามารถจัดการข้อมูลทางเทคนิค การติดตั้ง การตั้งค่า หรือว่าซ่อมบำรุงผ่านระบบ QR Code บนสมาร์ทโฟน
  • มีระบบ Current limitation technology พร้อมด้วยระบบสองหน้าคอนแทค (Double-Rotatory contact system) สามารถตัดกระแสลัดวงจรได้รวดเร็วขึ้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นและมีความปลอดภัยที่เหนือกว่า

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

เทคนิคการเลือกตู้เย็นมินิบาร์สำหรับโรงแรมของคุณ

minibar

เทคนิคการเลือกตู้เย็นมินิบาร์สำหรับโรงแรมของคุณ

ในปัจจุบัน แทบจะทุกโรงแรมไม่ว่าจะเป็นโรงแรมชั้นประหยัดไปจนถึงโรงแรมระดับ 5 ดาว จะต้องมี “ตู้เย็นมินิบาร์” จัดวางไว้มุมใดมุมหนึ่งในห้องพักเพื่อให้บริการแขก ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัดจึงสามารถจัดวางได้อย่างไม่เกะกะพื้นที่ใช้สอย แต่ถึงจะเล็กก็มีความจุที่พอเพียงสำหรับแช่เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวหรืออาหารเล็กๆ น้อยๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับแขกได้เป็นอย่างดี

ต้นกำเนิดมินิบาร์

ตู้เย็นมินิบาร์ ผลิตครั้งแรกโดยบริษัท Siegas ประเทศเยอรมนีในช่วงปี พ.ศ. 2500 โรงแรมแมดิสันในเมืองวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าแรกที่นำมาใช้งาน ซึ่งในตอนนั้นจะเป็นการให้บริการเพียงเครื่องดื่มทั่วไปและขนมขบเคี้ยวต่างๆ จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2517 โรงแรมฮิลตันสาขาฮ่องกง ได้เริ่มนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบรรจุเพิ่มเติมในมินิบาร์ของทุกห้องพักกว่า 840 ห้อง ส่งผลให้ยอดขายเครื่องดื่มในห้องพักพุ่งสูงขึ้นกว่า 500% และนำไปใช้ในทุกโรงแรมในเครือฮิลตันทั่วโลก เกิดเป็นกระแสในหมู่เครือโรงแรมหรู เรียกได้ว่าแทบจะทุกโรงแรมจะต้องมีตู้เย็นมินิบาร์ไว้ให้บริการแขกในห้องพัก

เลือกตู้เย็นมินิบาร์แบบไหนดี

ตู้เย็นมินิบาร์เป็นตู้เย็นขนาดเล็กแบบประตูบานเดียว มีให้เลือกทั้งแบบบานประตูทึบและบานประตูกระจก ส่วนใหญ่มีความจุไม่เกิน 90 ลิตร จึงประหยัดไฟ มีรูปลักษณ์ที่สวยงามเข้ากับการตกแต่งของโรงแรมทุกสไตล์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้ก่อนเลือกซื้อตู้เย็นมินิบาร์สำหรับโรงแรมของคุณ

  • เหมาะสมกับความต้องการของโรงแรม – ขนาดของตู้เย็นมินิบาร์ควรขึ้นอยู่ขนาดของห้องพัก สำหรับห้องพักโรงแรมขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 40 ตร.ม. ควรเลือกใช้ตู้เย็นมินิบาร์ขนาดเล็ก ประมาณ 60-80 ซม. ความจุประมาณ 80 ลิตร แต่สำหรับห้องพักขนาดใหญ่ สามารถพิจารณาตู้เย็นขนาดเล็ก 2 ประตู ความจุไม่เกิน 150 ลิตร
  • มีฟังก์ชันพื้นฐาน – ทำความเย็นอัตโนมัติ ประหยัดพลังงาน ดูแลรักษาง่าย ไม่มีน้ำทิ้งจากช่องน้ำแข็งให้ต้องกังวลเรื่องน้ำนองพื้น
  • เงียบ ไร้เสียงรบกวน – ลูกค้าที่มาโรงแรมส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพักผ่อน จึงต้องมั่นใจว่าเครื่องมีระบบการทำงานที่เงียบไร้เสียงรบกวน ไม่ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อน
  • คุณภาพและความทนทานในระยะยาว – สินค้าต้องมีคุณภาพ ทนทาน จัดหาอะไหล่ได้ง่าย มีการรับประกันสินค้าและมีบริการหลังการขาย ดังนั้นจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับจากโรงแรมชั้นนำ

มินิบาร์จาก Onity

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ตู้เย็นมินิบาร์สำหรับโรงแรมให้เลือกสรรในตลาดจำนวนมาก โดยมีรูปลักษณ์ การทำงาน คุณภาพและราคาที่แตกต่างลดหลั่นกันไป ตู้เย็นมินิบาร์จาก Onity เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพชั้นนำจากยุโรปตามมาตรฐาน ISO ที่ได้รับการไว้วางใจใช้งานในห้องพักกว่า 5 ล้านห้องในโรงแรมกว่า 30,000 แห่งทั่วโลก มาพร้อมคุณสมบัติครบครันไม่ว่าจะเป็น

  • มีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย – ไม่ว่าจะเป็นบานประตูฝาทึบและบานกระจกสลับด้านเปิดปิดได้ ภายในออกแบบด้วยชั้นวางเลื่อนได้ 2 ชั้น ปรับเปลี่ยนการตั้งวางได้ถึง 5-8 แบบตามแต่ละรุ่น เพื่อการจัดวางทั้งแนวตั้งแนวนอนได้อย่างลงตัว มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 30 ถึง 60 ลิตรให้เหมาะสมกับทุกความต้องการ
  • ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – กินไฟน้อยเพียง 0.96 kWh ปราศจากสาร CFC, HDFC, HFC และ PFC ที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน แต่ใช้ไซโคลเพนเทน (Cyclopentane) ซึ่งเป็นสารทำความเย็นที่ละลายและกลายเป็นไอได้ง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • เงียบ ไร้เสียงรบกวน – ใช้ระบบทําความเย็นแบบดูดซึมซึ่งไม่ทำให้เกิดเสียงรบกวน จึงมั่นใจได้ถึงความเงียบ
  • มีอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย – มีล้อเลื่อน ล็อค และบานเลื่อนฝาตู้เย็นยึดติดกับฝาตู้เฟอร์นิเจอร์
  • มั่นใจได้ในการดูแลหลังการขาย – มินิบาร์ทุกรุ่นมีการรับประกัน 2 ปี เรามีทีมงานบริการหลังการขายที่พร้อมดูแลคุณอย่างรวดเร็ว และมีอะไหล่สำหรับมินิบาร์ทุกรุ่นไม่น้อยกว่า 10 ปีจากโรงงานผู้ผลิต จึงมั่นใจได้ในการใช้งานระยะยาว

บี.กริม เทรดดิ้ง เราเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของระบบล็อคประตู ตู้เซฟ และมินิบาร์สำหรับโรงแรมจากแบรนด์ Onity ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปีในประเทศไทย เราพร้อมให้คำปรึกษาในการเลือกโซลูชั่นสำหรับโรงแรมทุกระดับและทุกขนาดเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ สนใจติดต่อเราได้เลย ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3241
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

Philips Hue หลอดไฟอัจฉริยะ แสงสว่างสู่บ้านแห่งอนาคตของคุณ

Philips hue

Philips Hue หลอดไฟอัจฉริยะ แสงสว่างสู่บ้านแห่งอนาคตของคุณ

ในช่วงปีหลังๆ มานี้เรามักได้ยินคอนเซ็ปบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Home เทรนด์ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีในการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ (Smart Device) ในบ้านไม่ว่าจะเป็น ประตูบ้าน แอร์ ผ้าม่าน ทีวี เครื่องเสียง กล้องวงจรปิด ไปจนถึงไฟฟ้า และน้ำประปา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้พักอาศัยมากยิ่งขึ้น

ใครที่กำลังสนใจอยากปรับเปลี่ยนบ้านตัวเองเป็นบ้านแห่งอนาคต ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับหลอดไฟอัจฉริยะ (Smart Light Bulbs) จาก Philips ที่เมื่อขึ้นชื่อว่าอัจฉริยะแล้ว มันคงไม่ได้ทำได้แค่ให้แสงสว่างเหมือนหลอดไฟปกติทั่วไปอย่างแน่นอน

ควบคุมอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วย Philips Hue Bridge ระบบแสงสว่างอัจฉริยะ

วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาระบบไฟอัจฉริยะคือการมุ่งเน้นให้เกิดการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม รวมถึงให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น Philips Hue Bridge ซึ่งเป็นระบบควบคุมหลอดไฟ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมแสงไฟได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การใช้งานระบบแสงสว่างที่คุณได้รับตลอดไป

  • ควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน – ควบคุมทุกการทำงานและฟีเจอร์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของคุณได้จากทุกที่ เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Philips Hue บนระบบ IOS และ Android และเชื่อมต่อกับ Phillips Hue Bridge ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างหลอดไฟกับแอพพลิเคชั่น
  • จัดการหลอดไฟได้สูงสุด 50 ดวง – เพียงเลือกหลอดไฟ Philips Hue ตามจำนวนที่คุณต้องการและเชื่อมต่อกับ Philips Hue Bridge บ้านทั้งหลังของคุณก็พร้อมทำงานด้วยแอพพลิเคชั่น Philips Hue อย่างง่ายดาย
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุด 12 เครื่อง – ยกระดับประสบการณ์การเชื่อมต่อระบบแสงสว่างของคุณด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ ในกลุ่ม Philips Hue (เช่น สวิตช์หรี่ไฟ, เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว) ได้สูงสุดถึง 12 เครื่อง

ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสี แต่เพื่อสร้างบรรยากาศที่สอดรับกับทุกกิจกรรม

  • หลับและตื่นอย่างเป็นธรรมชาติ – Philips Hue ช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีประสิทธิภาพกับการตื่นนอนยามเช้าอย่างเป็นธรรมชาติผ่านการใช้แสงสีขาวในโทนและอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยการปรับไล่ความเข้มของแสงขึ้นเรื่อยๆ ตามบรรยากาศของแสงแดดธรรมชาติ แทนการใช้เสียงจากนาฬิกาปลุก และใช้แสงโทนสีเหลืองเพื่อให้คุณผ่อนคลายและเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการเข้านอน
  • อ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ – แสงไฟสีขาวโทนอบอุ่นจะช่วยให้คุณอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น
  • เพิ่มสีสันให้กับทุกกิจกรรม – เติมสีสันและออกแบบห้องเพื่อสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้เหมาะสมกับแต่ละกิจกรรมได้ง่ายๆ ด้วยการปรับค่าสีได้สูงสุดถึง 16 ล้านสี

เปิด-ปิดอัตโนมัติ

ด้วยเทคโนโลยี Geofencing คุณสามารถตั้งค่าให้ไฟเปิดต้อนรับเมื่อกลับมาถึงบ้านหรือปิดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้าน หรือจะเลือกปรับตั้งเวลาเปิดปิดเองก็ทำได้อย่างง่ายดาย

สั่งการด้วยเสียง

รองรับการสั่งการด้วยเสียงผ่าน Siri, Google Assistant และ Amazon Alexa เพื่อให้คุณเปิด-ปิด หรือหรี่ไฟเพื่อสร้างบรรยากาศที่ต้องการ เรียกใช้ค่าที่ตั้งไว้ เปลี่ยนสี และการทำงานอื่นๆ อีกมากมาย ได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยแทบจะไม่ต้องยกนิ้วเลย

ยกระดับความบันเทิงของคุณด้วย Hue sync box

เชื่อมต่อสื่อความบันเทิงของคุณกับโคมไฟอัจฉริยะ เพื่อการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมที่สะท้อนสีสันรอบตัวและทุกจังหวะอย่างลงตัว

อายุใช้งานที่ยาวนาน

Philips Hue มากับอายุการใช้งานถึง 25,000 ชม. ช่วยให้คุณหมดกังวลกับการเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยครั้ง

บี. กริม เทรดดิ้ง ยินดีให้คำปรึกษา เราเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Philips สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ช่วยให้ที่พักอาศัยของคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น มั่นใจด้วยการรับประกันสินค้าและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ปรึกษาเราได้เลย ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232

Facade Lighting งานตกแต่งเปลือกอาคารด้วยแสงไฟ

facade lighting

Facade Lighting งานตกแต่งเปลือกอาคารด้วยแสงไฟ

facade lighting

เราจะเห็นว่าตึกอาคารจะมีองค์ประกอบด้านหน้า เช่น หน้าต่าง กระจก ระเบียง ชายคา หรือสิ่งตกแต่งปลีกย่อยอื่นๆ องค์ประกอบเหล่านี้เรียกว่า Facade หรือในงานสถาปัตยกรรมจะเรียกว่า “เปลือกอาคาร” ที่นอกเหนือจากมีประโยชน์ในการปกป้องอาคารจากสภาวะแวดล้อมภายนอก ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมที่สำคัญของนักออกแบบ

นวัตกรรมแสงสว่าง LED
สำหรับบ้านพักอาศัยหรือคอนโดมิเนียม การตกแต่งของ facade จะค่อนข้างเรียบง่ายเพื่อความสะดวกในการใช้งานและการดูแลรักษา แต่ในอาคารพาณิชย์ เช่น ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สนามกีฬา อาคารสูง รวมไปถึงแลนด์มาร์คต่างๆ ที่ต้องการเน้นงานสถาปัตยกรรมที่ดึงดูดความสนใจ หรือสำหรับทำกิจกรรม เช่น ลานหน้าศูนย์การค้า การออกแบบของ facade จึงมีรายละเอียดลูกเล่นที่หลากหลายและซับซ้อนมากกว่า ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างมิติและความโดดเด่นคงไม่พ้นการออกแบบแสงไฟภายนอกอาคาร (Lighting Design for Exterior) เพื่อช่วยเพิ่มเสน่ห์และความสวยงามให้แก่อาคารในยามค่ำคืน
การใช้ไฟ LED เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีของการตกแต่งอาคารที่เพิ่มสีสัน สร้างอัตลักษณ์ ช่วยให้อาคารมองเห็นได้จากระยะไกล อาคารที่มีสถาปัตยกรรมการออกแบบภายนอกและตกแต่งด้วยแสงไฟที่สวยงามย่อมเป็นที่จดจำและพูดถึงในวงกว้าง ถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ และส่งเสริมการขาย

คุณสมบัติของหลอดไฟ LED

  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: หลอดไฟ LED แตกต่างจากหลอดไฟนีออนตรงที่ไม่มีแสง UV และไม่มีสารปรอท จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ประหยัดพลังงาน: ประหยัดไฟมากกว่าหลอดไฟแบบปกติเนื่องจากมีการปล่อยความร้อนน้อยลงและใช้พลังงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระดับแสงสว่างที่เท่ากัน
  • ทนทาน: วัสดุมีคุณภาพ ทนทาน ไม่แตกง่ายเหมือนหลอดไฟทั่วไป รวมถึงทนต่อการสั่นสะเทือนและสภาพอากาศต่างๆ
  • ถนอมสายตา: ให้แสงสว่างคงที่ สีคมชัดและไม่มีอาการไฟกระพริบ

การออกแบบแสงไฟ
การออกแบบแสงไฟมีหลายรูปแบบ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟประดับทั่วทั้งอาคาร ขึ้นอยู่กับคอนเซ็ป สไตล์ของอาคารนั้นๆ เช่น

  • แบบ Direct View – ที่มักใช้ในรูปแบบของจอโฆษณา LED ขนาดใหญ่ (Media Facade) นิยมติดตั้งกับเปลือกอาคารที่เป็นพื้นผิวกระจกและมีความมันวาว
  • การส่องเน้นเฉพาะจุด (Accent Lighting) – โดยการใช้แสงไฟส่องเน้นไปยังจุดใดจุดหนึ่งหรือบริเวณที่สำคัญ ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด
  • แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) – การใช้โคมไฟติดตั้งด้านบนหรือด้านล่างของเปลือกอาคารเพื่อส่องแสงขึ้นหรือลงและสร้างรูปแบบของแสงที่กำแพง สร้างบรรยากาศที่น่าสนใจแต่ไม่ส่องเน้นวัตถุใดเป็นพิเศษ
  • แสงสว่างทางสถาปัตยกรรม (Architectural Lighting) – การใช้แสงสว่างที่สัมพันธ์กับงานทางด้านสถาปัตยกรรมหรือโครงสร้างของอาคาร เช่น การใช้หลืบร่องของผนังเป็นแหล่งกำเนิดแสง การใช้แสงจากมุมบังตา เพื่อเพิ่มมิติที่น่าดึงดูดให้กับอาคาร

ข้อคำนึงในการออกแบบ

  • ส่วนสูง ความกว้างและองค์ประกอบของอาคาร – วัสดุ การสะท้อนแสง และสีของเปลือกอาคารมีผลต่อการเลือกรูปแบบของโคมไฟ จำนวนที่ต้องใช้ และองศาที่เลือกเป็นจุดส่องแสงเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์ของอาคาร
  • ตำแหน่งแสงไฟ – ต้องเป็นมุมที่ไม่ถูกบดบังด้วยต้นไม้หรืออาคารข้างเคียง ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาหรือผู้ขับขี่บนท้องถนนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งจากระยะใกล้และไกล และแม้ว่าตำแหน่งติดตั้งควรอยู่ในจุดที่พรางสายตาแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถเข้าถึงได้เพื่อสะดวกต่อการบำรุงรักษา
  • แสงไฟและภูมิทัศน์ – แสงไฟที่ส่องสะท้อนและภูมิทัศน์รอบด้านเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการออกแบบและตำแหน่งการติดตั้ง ควรเลือกตำแหน่งบนเปลือกอาคารที่ไม่มีแสงส่องถึง เช่น บริเวณด้านบนที่ไกลจากแสงไฟจากถนน
  • ไม่ทำร้ายสายตา – ในขณะที่แสงไฟควรสร้างความสวยงามและมองเห็นได้ชัดเจน แต่ต้องระมัดระวังการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นแสงจ้าและส่องสว่างจนสร้างผลกระทบต่อดวงตาผู้คน

บี.กริม เทรดดิ้ง เรามีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำในการออกแบบและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Facade Lighting ที่ได้มาตรฐาน มีระบบความปลอดภัยสูง และเหมาะสมกับสถาปัตยกรรมทุกรูปแบบ สามารถติดต่อเราได้ ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line : https://lin.ee/ItAW7DS @bgrimmtrading

EV Charger เครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV

EV charger

EV Charger เครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV

รถ EV (Electric vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่าข้อดีของรถ EV คือขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและไร้ซึ่งเสียงรบกวน ซึ่งอุปกรณ์ที่มาคู่กันก็คือ EV Charger (เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่รถยนต์

โดยสามารถแบ่งการชาร์จออกเป็น 2 ประเภท คือการชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) และการชาร์จแบบด่วน (Quick Charge/Fast Charge)

AC VS DC charging
  • 1. การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge หรือ AC Charge) เป็นการชาร์จในที่พักอาศัยด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC (Alternative Current) ผ่านระบบชาร์จไฟ On-Board Charger ที่อยู่ภายในตัวรถ ซึ่ง On-Board Charger จะทำหน้าที่ในการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC (Direct current) และคอยควบคุมไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลเกินค่าที่สายชาร์จกำหนด ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จจะอยู่ที่ประมาณ 4-16 ชม. ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่นของรถยนต์ และขนาดของ On-Board Charger

ข้อดี – สะดวก ไม่ต้องหาสถานีบริการนอกบ้านและที่นั่งคอย เมื่อกลับถึงบ้านก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จในช่วงค่ำ และทิ้งไว้ข้ามคืนได้ พอถึงเช้าแบตเตอรี่ก็เต็มพร้อมใช้งานได้ทันที

ข้อจำกัด – ใครที่กำลังคิดจะติดตั้งระบบชาร์จที่บ้าน อย่าลืมสำรวจขนาดมิเตอร์ของตนเอง ซึ่งการไฟฟ้าแนะนำว่ามิเตอร์ควรมีขนาดขั้นต่ำที่ 30(100) แอมป์ (A) เนื่องจากรถ EV จะกินกระแสไฟฟ้าขณะชาร์จอย่างต่อเนื่องที่ 8A ถึง 16A มากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆภายในบ้าน นอกจากนี้คุณยังต้องติดตั้งเต้ารับ (Socket) โดยเฉพาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

  • 2. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge/Fast Charge หรือ DC Charge) จะเป็นการชาร์จในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งติดตั้งตู้ EV Charger สำหรับจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง DC เข้าแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จน้อยกว่าการชาร์จแบบธรรมดามาก โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 2 ชม. หรือถ้าเป็นแบบ DC High Power ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในเวลาเพียง 10 – 20 นาทีเท่านั้น (จาก 0 – 80%)
    *ที่สถานีชาร์จจะมีให้บริการสำหรับหัวจ่าย AC ด้วย

ข้อดี – รวดเร็ว เหมาะกับเวลาแวะเที่ยว ซื้อของ หรือระหว่างเดินทางไกล สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในระหว่างทำกิจกรรม

ข้อจำกัด – สถานีบริการอาจยังมีไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ และเนื่องจากเครื่องชาร์จแบบ DC นั้นจะมีมูลค่าที่สูง ค่าใช้จ่ายในการชาร์จจึงสูงกว่าแบบ AC รวมถึงตัวแบตเตอรี่รถยนต์อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

Versicharge siemens

เลือกใช้ EV Charger แบบไหนดี

  • เช็คขนาด On-Board Charger ของคุณ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับว่า On-Board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อและรุ่นนั้นๆ มีความสามารถในการรับไฟได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถคำนวนเวลาคร่าวๆ โดยการเอาแบตเตอรี่รถยนต์หารด้วยขนาดของ On-Board Charger ยกตัวอย่างเช่น รถ EV ที่มีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 24 kW/h และมี On-Board Charger ขนาด 3kW ระยะเวลาในการชาร์จจะอยู่ที่ประมาณ 8 ชม.

  • เลือกขนาดเครื่องชาร์จที่ใกล้เคียงกับ On-Board Charger

ซึ่งตัวเครื่องชาร์จเองได้ผลิตออกมาหลายขนาด เราสามารถเลือกใช้ขนาดใดก็ได้ แต่ความเร็วก็จะผันแปรตามกำลังชาร์จของเครื่องด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ถ้าเลือกใช้เครื่องชาร์จขนาดเล็กกว่า On-Board Charger ก็จะยิ่งใช้เวลานาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขนาดใหญ่ก็จะยิ่งเร็วเสมอไป เพราะตัว Charger จะปรับลดขนาดไฟลงอัตโนมัติให้อยู่ในระดับที่ On-Board Charger สามารถรับได้นั่นเอง ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องชาร์จที่มีกำลังชาร์จเหมาะสมกับขนาดของ On-Board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้าของคุณ

  • เครื่องชาร์จต้องมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงอย่างยิ่งในการเลือก EV charger คือคุณภาพและความปลอดภัย เนื่องจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมักเป็นการชาร์จแบบข้ามคืน เครื่องชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานอาจสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินหรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจากไฟรั่วไฟฟ้าลัดวงจร จึงควรเลือกเครื่องชาร์จที่มีความปลอดภัยสูง มีระบบวงจรไฟฟ้าแยกอิสระกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้าน มีระบบป้องกันกระแสไฟเกิน ไฟรั่ว มีระบบควบคุมและตัดไฟอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่เต็ม ทำให้มั่นใจว่ารถยนต์สามารถชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยมาถอดสายชาร์จกลางดึก

ปัจจุบัน EV Charger ในตลาดยังมีจำหน่ายไม่แพร่หลายนัก บี.กริม เทรดดิ้ง เรามีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำ ทั้งการเลือกซื้อ EV Charger การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสม และการติดตั้งกับระบบไฟบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย สามารถติดต่อเพื่อปรึกษาเราได้ ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line : https://lin.ee/ItAW7DS @bgrimmtrading

ทำความรู้จักกับ Chiller ระบบปรับอากาศขนาดใหญ่

Chiller

ทำความรู้จักกับ Chiller ระบบปรับอากาศขนาดใหญ่

Chiller Air carrier

ชิลเลอร์ (Chiller) เป็นระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ผลิตน้ำเย็นหรือปรับลดอุณหภูมิน้ำเพื่อจ่ายไปยังเครื่องปรับอากาศต่างๆ ในอาคาร ส่วนมากใช้ในอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้าหรือโรงงานที่ต้องอาศัยความเย็นในการควบคุมคุณภาพการผลิตสินค้า หรือใช้เป็นส่วนประกอบในการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรวมถึงยังประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย

ชิลเลอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water Cooled Chiller) เป็นระบบขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพในการทำความเย็นสูงแต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบระบายด้วยอากาศเช่นกัน ในกรณีที่โครงการมีขนาดใหญ่ และมีความต้องการความเย็นมากมักจะนิยมใช้เครื่องทํานํ้า เย็นชนิดนี้ เพราะจะมีเครื่องทํานํ้าเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงให้เลือกใช้ (0.62 – 0.75 กิโลวัตต์/ตัน) ทําให้ได้ระบบปรับอากาศที่กินไฟน้อยกว่าเครื่องแบบอื่นๆ มีอุปกรณ์หลักคือ คอมเพรสเซอร์ (Compressor) แผงระบายความร้อน (Condenser) และแผงคอยล์เย็น (Evaporator) หลักการทำงานโดยคร่าวๆ คือการใช้คอมเพรสเซอร์อัดสารทำความเย็นซึ่งอยู่ในรูปแบบของก๊าซเย็นความดันต่ำ จนกลายเป็นไอร้อนก่อนที่สารทำความเย็นนี้จะถ่ายเทความร้อนออกผ่านแผงระบายความร้อน เพื่อแปรสภาพเป็นของเหลว และลดความดันด้วยอุปกรณ์ลดแรงดัน ก่อนนำความเย็นที่ได้ไปใช้งาน การระบายความร้อนออกจากระบบจะใช้น้ำเป็นตัวกลางในการดึงความร้อนออกจากสารทำความเย็น ผ่านทางแผงระบายความร้อน จึงจำเป็นต้องมีหอหล่อเย็น (Cooling tower) เพื่อลดอุณหภูมิน้ำเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ในระบบ
  2. แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled Chiller) เป็นระบบที่เล็กกว่าระบบแรกโดยมีความแตกต่างกันที่การระบายความร้อน ซึ่งระบบนี้จะไม่มีวงจรของน้ำระบายความร้อนเพราะจะใช้อากาศในการระบายความร้อน ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดคือ เครื่องทำน้ำเย็นและมีอุปกรณ์ประกอบคือ ปั๊มน้ำเย็นและอุปกรณ์ส่งจ่ายลมเย็น เท่านั้น การระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็นจะใช้อากาศดูดหรือเป่าไปยังขดท่อความร้อน ซึ่งพัดลมอาจมีจำนวนหลายชุดใน Chiller แต่ละชุด ดังนั้นเครื่องทำน้ำเย็นระบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำเพราะน้ำจะมีความสามารถในการระบายความร้อนสูงกว่า อีกทั้งเมื่อพัดลมชำรุดจะเกิดการลัดวงจรของลมทำให้ประสิทธิภาพลดลงด้วย

ทำไมถึงควรใช้ Chiller

  • ทำความเย็นได้รวดเร็ว ทั่วถึง
    เนื่องจากชิลเลอร์เป็นระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถผลิตความเย็นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถกระจายไปยังจุดต่างๆ ได้พร้อมๆ กันอย่างทั่วถึง
  • ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย
    ชิลเลอร์ เป็นระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้งบประมาณส่วนใหญ่กับเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ซึ่งในรุ่นใหม่ๆ จะมีนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นเก่า
  • เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม
    ชิลเลอร์ไม่ได้ใช้สาร CFC ซึ่งเป็นสารทำความเย็นที่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก จึงจัดเป็นระบบปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อจำกัด

  • ใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก
    เนื่องจากเป็นระบบขนาดใหญ่ จึงต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก บางครั้งอาจต้องติดตั้งภายนอกอาคารทำให้อายุการใช้สั้นลงเนื่องจากต้องทนทานกับสภาพอากาศ
  • การติดตั้งมีความยุ่งยาก
    การติดตั้งมีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องจัดเตรียมโครงสร้างสำหรับติดตั้งเครื่อง และจัดตำแหน่งจัดวางที่แน่นอน เนื่องจากระบบมีขนาดใหญ่ การเคลื่อนย้ายตำแหน่งในภายหลังเป็นไปได้ยาก
  • ค่าใช้จ่ายสูง
    ตัวระบบมีราคาแพง รวมถึงการติดตั้งและการดูแลซ่อมบำรุงมีค่าใช้จ่ายที่สูง


ตอนนี้เราก็ได้รู้จัก Chiller แล้วว่ากี่ประเภทและทำงานอย่างไร สำหรับใครที่กำลังมองหาระบบปรับอากาศสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือใช้ในเชิงพาณิชย์ที่ต้องเปิดแอร์เป็นเวลานานในสถานที่ขนาดใหญ่ ลองให้ Carrier Chiller เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณสามารถเลือกซื้อได้ เราจำหน่ายทั้งระบบ Water Cooled Chiller และ Air Cooled Chiller รับประกันมาตรฐานคุณภาพสินค้าระดับสูงสุดและบริการหลังการขาย

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

ประโยชน์จากหลอดไฟ UV-C

UVC

ประโยชน์จากหลอดไฟ UV-C

philips uvc

เราคงคุ้นหูกันดีกับรังสี UV-A และ UV-B ในแสงแดด ที่ถึงแม้จะมีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้นการผลิตวิตามินดีและสามารถนำมารักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ แต่หากได้รับในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานานก็จะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง สร้างความเสียหายต่อดีเอ็นเอ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

แล้วรังสี UV-C พบได้ที่ไหน

จริงๆ แล้ว รังสียูวีในแสงแดดถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน แต่แสงแดดที่มาถึงพื้นโลกจะมีคลื่นแสงยาวกว่า 290 nm ในขณะที่ UV-C มีช่วงความยาวคลื่นที่ 100 – 280 nm จึงมักมาไม่ถึงผิวโลก ยกเว้นในบริเวณยอดเขาสูง รังสี UV-C เป็นรังสีที่อันตรายต่อมนุษย์ในระดับรุนแรง ทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม เยื่อบุตาอักเสบ หรือตาบอดได้ ด้วยความรุนแรงดังกล่าว UVC จึงจัดเป็นรังสีที่ประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อโรค และการนำมาใช้งานจึงเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ขึ้นเองผ่านระบบ “UVGI” (Ultraviolet Germicidal Irradiation) หรือ ระบบการใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ (Germicidal Range)

advantages of UVC

ประโยชน์ของ UV-C
UV-C มีพลังงานสูง ความยาวคลื่นยาวกว่ารังสี X-Ray สามารถส่องทะลุผ่านผิววัตถุรวมถึงดีเอ็นเอของเชื้อโรค จึงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ ที่อยู่บนพื้นผิววัตถุและในอากาศในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

หลอดไฟ UV-C
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการใช้เครื่องฟอกอากาศแล้วยังมีการนำรังสี UV-C มาใช้ร่วมเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และเพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นในสถานพยาบาล ห้องวิจัย อาคาร ร้านค้าต่างๆ หรือแม้แต่ในบ้านพักอาศัย และยิ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาประยุกต์ใช้ ในรูปแบบของหลอดไฟและโคมไฟแสง UV-C ที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายลักษณะ เช่น

  1. เพื่อฆ่าเชื้อโรคในอากาศ (Air Disinfection) โดยการติดตั้งบนผนังหรือเพดาน
  2. เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่พื้นผิวของวัตถุ (Surface Disinfection) เช่นในรูปแบบของรถเข็นโดยส่องไปยังบริเวณพื้นห้อง เฟอร์นิเจอร์ ราวจับ ภาชนะบรรจุ หรืออุปกรณ์ต่างๆ
  3. เพื่อฆ่าเชื้อโรคในของเหลว (Liquid Disinfection) เช่นการฆ่าเชื้อในน้ำ เครื่องกรองน้ำ ตู้ปลา หรือสระว่ายน้ำ รวมถึงในอาหารสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร

การใช้งาน

  • ต้องถูกเชื้อโรคโดยตรง ในระยะเวลาที่เพียงพอ
    ประสิทธิภาพในการยับยั้งและทำลายเชื้อโรคของ UV-C ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ ระยะห่าง ประเภทของพื้นผิวหรือวัตถุ รวมถึงชนิดของเชื้อโรค เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิดสามารถทนต่อรังสีได้นาน
  • ควรใช้ในที่อากาศแห้ง
    รังสี UV-C จะมีประสิทธิภาพดีที่สุดเมื่อใช้ระดับความเข้มข้นน้อยในสถานที่ที่มีสภาพอากาศแห้ง หากใช้ในอากาศชื้นมากๆ จะต้องเพิ่มความเข้มของรังสีเป็นสองเท่า
  • ความเข้มแสงลดลงตามระยะห่าง
    ความเข้มของรังสีจะลดลงตามระยะห่างจากหลอดไฟ ประสิทธิภาพของแสงจึงอาจไม่เพียงพอในห้องที่มีปริมาตรขนาดใหญ่หรือมีฝ้าเพดานสูง อาจต้องเพิ่มจำนวนหลอด

ข้อพึงระวัง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง
    ในขณะที่ UV-C มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคหลากหลายชนิด แต่ก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ สามารถทำร้ายผิวหนังและเยื่อบุตาของคนและสัตว์ส่งผลให้ตาบอดได้ การใช้งานต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างเคร่งครัด
  • ใช้ในพื้นที่ปิด ขณะเปิดใช้งานต้องไม่มีคนอยู่
    ต้องมั่นใจว่าขณะเปิดใช้งานไม่มีคนอยู่ในบริเวณนั้นๆ ควรมีไฟหรือสัญญาณแสดงเพื่อแจ้งเตือนว่าขณะนี้มีการเปิดใช้งานหลอด UV-C และควรมีระบบรีโมตในการเปิดปิดระยะไกล หรือใช้วิธีการเปิดปิดไฟได้สองทาง หรือมีเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวซึ่งจะปิดไฟอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้ามาใกล้
  • ผลิตภัณฑ์ต้องได้มาตรฐาน
    ควรเลือกใช้หลอดไฟที่มีมาตรฐานควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งานในระดับสากลโดยองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะในสถานพยาบาลที่ต้องมีมาตรฐานสำหรับใช้ในการโรงพยาบาลโดยเฉพาะเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค

บี. กริม เทรดดิ้ง เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Philips สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล และมีการรับประกันสินค้า

หลอดไฟ UV-C ของ Philips มาพร้อมระบบ Dynalite UV-C Control ที่ควบคุมปริมาณรังสีในปริมาณที่เหมาะสม และป้องกันการสัมผัสที่เป็นอันตราย มีระบบตั้งเวลาและสัญญาณแจ้งเตือนว่าระบบกำลังทำงาน มีเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวเพื่อหยุดทำงานทันทีหากพบว่าสถานที่มีการใช้งานอยู่หรือหากประตูเปิดเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสี UV-C สัมผัสถูกคนหรือสัตว์

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

เทคโนโลยี VRF ในเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างไร

technology vrf

เทคโนโลยี VRF ในเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างไร

เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีหน้าที่ปรับอากาศให้เย็น หลักการทำงานคือการนำความร้อนในห้องออกไปยังนอกห้อง ผ่านคอยล์เย็น (Indoor unit) ซึ่งบรรจุสารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์แล้วเปลี่ยนสถานะให้เป็นไอ โดยใช้ Compressor เป็นตัวขับเคลื่อน ก่อนส่งต่อไปยังคอยล์ร้อน (Condenser) เพื่อลดอุณหภูมิและระบายความร้อนออกไปภายนอก สำหรับอาคารที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่จำเป็นที่จะต้องมีการติดตั้งระบบปรับอากาศซึ่งประกอบด้วยเครื่องปรับอากาศหลายชุดในระบบเดียว เรามักได้ยินชื่อของระบบ VRF อยู่เสมอ

แล้ว VRF คืออะไร? VRF หรือ Variable Refrigerant Flow เป็นระบบปรับอากาศชนิดหนึ่ง อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไปจะมีระบบการทำงานกันแบบแยกส่วน หนึ่งคอยล์ร้อนต่อหนึ่งคอยล์เย็น แต่สำหรับระบบ VRF จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างออกไป คือหนึ่งคอยล์ร้อนสามารถต่อได้หลายคอยล์เย็น และเป็นระบบแบบแปรผันน้ำยา โดยจะคำนวณปริมาณน้ำยาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ที่มีสภาวะความร้อนที่แตกต่างกัน

คุณสมบัติ

  • เชื่อมต่อกับคอยล์เย็นได้หลายตัว ประหยัดพื้นที่วางคอยล์ร้อน
    แอร์ระบบทั่วไปจะต้องใช้คอยล์ร้อนตามจำนวนแอร์ เช่นแอร์ 10 ตัว ก็ต้องติดตั้งคอยล์ร้อนจำนวน 10 ตัว ทำให้ต้องหาพื้นที่สำหรับติดตั้งค่อนข้างมาก อีกทั้งเป็นการบดบังทัศนียภาพของอาคาร แต่คอยล์ร้อนของระบบ VRF หนึ่งตัวสามารถเชื่อมต่อกับคอยล์เย็นในระบบเดียวกันได้หลายตัว (ขึ้นอยู่กับขนาด BTU ของคอยล์ร้อน) จึงประหยัดพื้นที่สำหรับวางคอยล์ร้อน เหมาะสำหรับอาคารพาณิชย์ สำนักงาน โรงงาน โรงแรม หรือที่พักอาศัยที่มีพื้นที่ภายนอกจำกัด
  • ติดตั้งคอยล์ร้อนในระยะไกลได้
    นอกจากจะประหยัดพื้นที่ในวางคอยล์ร้อนแล้ว ระบบยังถูกออกแบบมาให้สามารถเดินท่อน้ำยาได้ในระยะไกลกว่าระแบบแอร์ทั่วไปมาก ตำแหน่งของคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน เช่น หากเป็นตึกอาคารที่มีแอร์ตามชั้นต่างๆ คอยล์ร้อนของระบบแอร์ทั่วไปจะต้องติดตั้งใกล้กับแอร์ อาจต้องวางตามระเบียงตามจำนวนของแอร์ แต่ระบบ VRF สามารถที่จะนำคอยล์ร้อนแยกไว้บนชั้นดาดฟ้า หรือนำไปซ่อนไว้ในจุดที่ไม่ต้องการให้พบเห็น ทำให้ไม่มีเสียงจากคอยล์ร้อนเข้าไปรบกวนคนในอาคาร เรียกว่าช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกของอาคารเลยทีเดียว
  • ควบคุมจากส่วนกลาง ปรับอุณหภูมิแต่ละพื้นที่ได้ตามต้องการ
    โดยปกติเราจะเห็นว่าแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในอาคารสำนักงานหรือตามห้างสรรพสินค้า จะมีอุณหภูมิเดียวกันทั่วทุกบริเวณไม่สามารถปรับแยกได้ แต่ระบบ VRF มีการควบคุมคอยล์เย็นแบบอิสระ ทำให้เราสามารถเลือกปรับอุณหภูมิในแต่ละห้องหรือแต่ละพื้นที่ตามความต้องการได้ นอกจากนี้ด้วยความสามารถในการควบคุมจากส่วนกลาง ผู้ใช้งานจึงตั้งเวลาเปิด-ปิด หรือเลือกเปิดแอร์ในเฉพาะบางห้องหรือบางบริเวณได้ รวมถึงสามารถกำหนดสิทธ์ในการเปิด-ปิด หรือการปรับอุณหภูมิในห้องต่างๆ ได้
  • ใช้งานกับแอร์ได้หลายชนิด
    ระบบ VRF รองรับการใช้งานร่วมกับแอร์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแอร์ติดผนัง แอร์แขวน แอร์แบบคาสเซ็ท แอร์ตู้ตั้งพื้น ไปจนถึงแอร์เปลือยต่อท่อลม ผู้ใช้งานจึงสามารถเลือกชนิดของแอร์ที่ตรงกับความต้องการและเข้ากับงานโครงสร้างและการออกแบบของอาคารได้
  • ประหยัดไฟ
    แน่นอนว่าทุกคนล้วนมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน แอร์ระบบ VRF เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานด้วยระบบอินเวอร์เตอร์ มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟสูง คุ้มค่าในระยะยาว

ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

  • ค่าใช้จ่าย
    VRF เป็นระบบปรับอากาศที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในขณะที่มีประสิทธิภาพการทำงานและการเชื่อมต่อกับคอยล์เย็นที่เหนือกว่าแอร์ระบบทั่วไป ราคาของมันก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน ผู้ใช้งานจึงควรพิจารณาถึงวัตถุประสงค์และความต้องการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
  • การซ่อมบำรุง
    แอร์ระบบทั่วไปมีการเชื่อมต่อของคอยล์ร้อนกับแอร์แบบตัวต่อตัว เมื่อเครื่องมีปัญหาหรือทำงานขัดข้อง ก็จะกระทบแค่แอร์ตัวนั้นๆ และการซ่อมแซมก็ไม่ซับซ้อนยุ่งยากนัก แต่เนื่องจาก VRF เชื่อมต่อและควบคุมการจ่ายน้ำยาสู่คอยล์เย็นหลายตัว ในกรณีที่คอยล์ร้อนขัดข้อง (ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างยาก) จึงส่งผลกระทบต่อทั้งระบบ รวมถึงต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะในการซ่อมแซม

ดูข้อมูลสินค้า VRF (เครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์) ->https://bit.ly/3ngE7ig
แคตตาลอคสินค้า VRF -> https://bit.ly/3C0S8oy

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม บี.กริม เทรดดิ้ง เราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อการเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

การเลือก Digital Door Lock สำหรับโรงแรม

how to choose digital door lock for hotel

การเลือก Digital Door Lock สำหรับโรงแรม

ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีบ้านและคอนโดจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาเลือกใช้ Digital door lock หรือระบบล็อคประตูอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการล็อคประตูและตอบโจทย์ชีวิตในยุควิถีใหม่ที่เน้นความสะดวก สะอาดและลดการสัมผัส แต่สำหรับธุรกิจโรงแรม Digital door lock ถือเป็นเทคโนโลยีที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ใช้สำหรับการบริหารควบคุมระบบการเข้า-ออก การเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ของลูกค้า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของธุรกิจ อำนวยความสะดวกและสร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ

หากคุณเป็นเจ้าของโรงแรมที่กำลังตัดสินใจว่าจะใช้ Digital door lock ดีหรือไม่สำหรับโรงแรมใหม่ของคุณ หรือต้องการจะปรับปรุงระบบของโรงแรมเดิม วันนี้ บี.กริม เทรดดิ้ง มีเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรเลือกใช้ Digital door lock พร้อมคำแนะนำในการเลือกซื้อ เพื่อให้เหมาะสมที่สุดกับโรงแรมของคุณ

ทำไมถึงควรใช้ Digital Door Lock 

infographic Door lock-01

  • ระบบความปลอดภัยสูง
    Digital door lock มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบของธุรกิจ ด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถกำหนดวันเวลาการเข้า-ออกประตูตามระดับการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น สำหรับลูกค้าที่เข้าพัก แม่บ้าน หรือผู้ดูแลตึก หากทำบัตรสูญหายสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนบัตรใหม่ได้ทันที
  • สะดวก ใช้งานง่าย
    ขั้นตอนการใช้งานไม่ซับซ้อนยุ่งยาก บัตรที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วสามารถให้งานได้ทันที เพียงเสียบหรือทาบกับตัวเครื่องก็สามารถเข้าห้องพักได้ และเมื่อออกจากห้องพัก เพียงพกบัตรไปด้วย ระบบล็อคจะทำการปิดไฟฟ้าในห้องพักอัตโนมัติ เป็นการประหยัดพลังงาน
  • ติดตั้งง่าย
    Digital door lock ทุกรุ่นใช้ระบบแบตเตอรีไม่ได้ใช้ไฟฟ้า จึงไม่ต้องเดินสายไฟและเมื่อไฟดับจึงสามารถใช้งานได้ตามปกติ โดยเฉลี่ยแบตเตอรีมีอายุใช้งานประมาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ ซึ่งตัวเครื่องจะมีสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรีอ่อน
  • ดีไซน์ทันสมัย แข็งแรงทนทาน
    มีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย การออกแบบมีทั้งแบบหนึ่งชิ้นและแยกสองชิ้น มีวัสดุพื้นผิวและที่จับให้เลือกหลากหลายแบบเข้าได้กับประตูทุกสไตล์ ทนทานต่อการกัดกร่อนในทุกสภาพอากาศ
    ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรม

Digital Door Lock มีกี่แบบ

ในปัจจุบัน Digital door lock พัฒนาออกมาหลายชนิดด้วยกัน สำหรับธุรกิจโรงแรม มี 3 ชนิดที่เป็นที่นิยมได้แก่

  1. ชนิดบัตรแถบแม่เหล็ก (Magstripe Card)
    เป็นระบบล็อคประตูรุ่นมาตรฐานแบบเสียบคีย์การ์ดเข้ากับตัวเครื่อง ระบบทำงานโดยการอ่านบัตรสองครั้ง (หนึ่งครั้งระหว่างการใส่และอีกครั้งในระหว่างการดึงบัตรออก) มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งถูกกว่าระบบอื่นๆ ถูกใช้ในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเม้นท์ คอนโดมาเป็นระยะเวลายาวนานลูกค้าจึงคุ้นเคยกับการใช้งานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบำรุงรักษาที่ตามมาค่อนข้างสูง เนื่องจากฝุ่นละอองอาจจับตัวที่ตัวเครื่องทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ต้องมีการทำความสะอาดสม่ำเสมอ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนบัตรที่อาจชำรุด และต้องมีพนักงานประจำการตลอดเวลา
  2. ชนิดไร้สัมผัส RFID
    ใช้เทคโนโลยีการอ่าน RFID แบบไม่ต้องสัมผัส สามารถใช้อุปกรณ์เปิดได้หลายแบบทั้งคีย์การ์ด, พวงกุญแจ (Key Fob) หรือ สายรัดข้อมือ (Wristband) ไม่ต้องเสียบหรือรูดบัตรกับตัวเครื่อง การ์ด RFID มีราคาสูงกว่าบัตรแถบแม่เหล็กแต่ก็มีความทนทานและมีอายุการใช้งานที่นานกว่าเนื่องจากไม่ต้องมีการเสียดสี มีความเสี่ยงต่อการปลอมแปลงต่ำ บางรุ่นโดยเฉพาะในแบรนด์ชั้นนำสามารถอัพเกรดระบบเพื่อรองรับการใช้งานผ่านมือถือ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีเสริมเพิ่มความปลอดภัย โดยไม่ต้องทำการตัดประตูหรือทาสีใหม่
  3. ระบบเชื่อมต่อกับมือถือ (Mobile Access)
    ระบบควบคุมจัดการได้จากทางไกล เป็นเทคโนโลยีที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยการเชื่อมต่อด้วยบลูทูธหรือWi-Fi ผ่านแอปพลิเคชันที่สามารถสั่งงานเปิด-ปิดล็อคได้ด้วยมือถือ ช่วยประหยัดเวลาเนื่องจากลูกค้าไม่จำเป็นต้องเข้าคิวติดต่อที่เคาท์เตอร์โรงแรม แต่สามารถใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าออกห้องพักผ่านแอปพลิเคชั่นของโรงแรม ซึ่งโรงแรมสามารถใช้เป็นช่องทางในการโฆษณาสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านอาหาร ข้อเสนอพิเศษหรือบริการต่างๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นจากการใช้พาสเวิร์ด ลดการสัมผัส เหมาะกับชีวิตในยุควิถีใหม่

ข้อควรคำนึง

  • คุณภาพ มาตรฐานสินค้า
    ต้องมั่นใจได้ในคุณภาพของสินค้า หากระบบล็อคชำรุดจะทำให้ลูกค้าเข้าออกห้องพักไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของโรงแรง หรือหากเป็นระบบที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเสี่ยงต่อการถูกปลอมแปลงหรือถูกเจาะเข้าระบบได้โดยง่าย เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้า จึงควรเลือกสินค้าจากแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ใช้กันแพร่หลายในโรงแรมที่มีชื่อเสียงต่างๆ
  • ผู้ผลิตต้องมีความน่าเชื่อถือ
    นอกจากจะมีรุ่นและระบบที่ตรงความต้องการและมีราคาที่เหมาะสมแล้ว ผู้ประกอบการควรเลือกผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันสินค้า เนื่องจากการใช้งาน Digital door lock ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อการติดตั้งสมบูรณ์เรียบร้อย แต่ยังมีเรื่องของการปรับปรุงอัพเดทระบบ การบำรุงรักษาซ่อมแซม รวมถึงการจัดหาอะไหล่ จึงต้องมั่นใจได้ถึงบริการภายหลังการขายด้วย

บี.กริม เทรดดิ้ง มีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำสำหรับ Digital Door Lock ที่เหมาะกับโรงแรมของคุณ เราเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจาก Onity มั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งานจริงในโรงแรมทุกระดับ ดูแลตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงบริการหลังการขาย

ค้นหาข้อมูลสินค้าสินค้าเพิ่มเติม
https://bit.ly/36d5r7g

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3241

ติดแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette type) ดีหรือไม่ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

Cassette type air conditioning

ติดแอร์แบบคาสเซ็ท (Cassette) ดีไหม ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

ถ้าพูดถึงแอร์ที่ใช้งานตามบ้าน ร้านค้า หรือออฟฟิศขนาดเล็ก เรามักนึกถึงแอร์แบบติดผนัง (Wall Type) หรือแอร์บ้านยอดนิยม ด้วยราคาที่จับต้องได้และการติดตั้งที่สะดวกไม่ยุ่งยาก ในขณะที่ แอร์แบบคาสเซ็ทหรือแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette Type) มักจะพบเห็นตามร้านค้า อาคาร หรือโครงการบ้านยุคใหม่ที่มีดีไซน์ทันสมัยและมีมูลค่าสูงเนื่องจากตัวเครื่องมีรูปลักษณ์ที่สวยงามกลมกลืนกับสถานที่ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ใครที่กำลังมองหาแอร์หรือกำลังตัดสินใจว่าจะใช้แอร์แบบคาสเซ็ท ดีไหม วันนี้เรารวบรวมจุดเด่นและข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจมาให้ 

จุดเด่นของแอร์ฝังฝ้าเพดานหรือแบบคาสเซ็ท (Cassette Type)

Air Cassette type
Air Cassette type
  1. รูปลักษณ์
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดเด่นที่เห็นชัดที่สุดของแอร์คาสเซ็ทคือหน้าตาที่สวยงาม ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและการฝังซ่อนใต้ฝ้าทำให้ตัวเครื่องดูกลมกลืนกับห้องมากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ สามารถเข้าได้กับการตกแต่งภายในของบ้าน ร้านค้า คาเฟ่ หรือสำนักงานทุกสไตล์อย่างลงตัว
  2. ประหยัดพื้นที่
    การติดตั้งแอร์แบบคาสเซ็ทนั้นจะฝังตัวเครื่องพร้อมท่อน้ำยาลงบนฝ้า จึงทำให้ไม่เปลืองพื้นที่บนผนังและไม่มีท่อน้ำยารบกวนสายตา ทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบาย เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความสวยงามหรือมีข้อจำกัดในการติดตั้ง เช่น ห้องที่มีดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นกระจก หรือไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมบนผนัง ตอบโจทย์บ้าน อาคาร ออฟฟิสยุคใหม่ที่มีการตกแต่งทันสมัย
  3. กระจายลมรอบทิศทาง
    ต้องบอกว่าแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีเพียงแค่รูปลักษณ์ จุดเด่นที่เหนือกว่าแอร์ชนิดอื่นคือเรื่องของการกระจายลม ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ 4 ทิศทางไปจนถึงรอบทิศทางแบบ 360 องศา บวกกับตำแหน่งการติดตั้งกลางห้องที่ช่วยให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว จัดเป็นแอร์ประเภทที่สามารถทำความเย็นได้เร็วที่สุด ทั้งยังสามารถควบคุมทิศทางกระจายลมได้อีกด้วย เลือกได้ว่าจะส่งลมไปยังพื้นที่จุดไหนให้มากยิ่งขึ้น หรือจะควบคุมไม่ให้ลมไปปะทะตัวคนมากเกินไปก็ทำได้ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมี BTU สูงกว่าแอร์แบบติดผนัง ใครที่กำลังมองหาแอร์สำหรับใช้งานภายในห้องขนาดใหญ่ มั่นใจได้เลยว่าแอร์แบบคาสเซ็ทให้ความเย็นได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงอย่างแน่นอน
  4. ประหยัดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
    หากคุณคิดว่าแอร์แบบคาสเซ็ทเปลืองไฟคงต้องคิดใหม่ เพราะมีระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์ให้เลือก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีอัตราการกินไฟน้อย รวมถึงทนทานต่อไฟตก ไฟเกิน มั่นใจได้ถึงการประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการรับรองด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีการทำงานที่เงียบกว่าแอร์ธรรมดา จึงไม่มีเสียงรบกวนในระหว่างการพักผ่อนหรือการทำงานอย่างแน่นอน

ก่อนจะตัดสินใจซื้อแอร์แบบคาสเซ็ท ควรจะต้องรู้อะไรบ้าง
ในขณะที่แอร์แบบคาสเซ็ท มาพร้อมกับดีไซน์และฟังก์ชั่นอันครบครัน ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสวยงามและทันสมัย ก่อนเลือกใช้งานคุณอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ด้วย

Air Cassette type

  1. ความสูงของห้อง
    หากคิดติดแอร์แบบคาสเซ็ท ลำดับแรกที่ต้องคำนึงคือเรื่องความสูงของห้อง เนื่องจากแอร์ปล่อยความเย็นจากด้านบน ระยะพื้นกับฝ้าเพดานจึงไม่ควรสูงเกิน 3.5 – 4 เมตร เพื่อให้มั่นใจว่าห้องของคุณจะได้รับความเย็นอย่างทั่วถึง
  2. การติดตั้ง
    ในการติดตั้งต้องเว้นพื้นที่ว่างระหว่างฝ้ากับเพดานห้องประมาณ 30 ถึง 45 เซนติเมตรสำหรับวางตัวเครื่อง หากมีระยะห่างไม่พอก็จะไม่สามารถติดตั้งได้ จึงไม่เหมาะกับห้องที่มีเพดานต่ำ นอกจากนี้ เนื่องจากตัวเครื่องติดตั้งอยู่บนฝ้า จึงแนะนำให้ติดตั้งแอร์ก่อนจะทำงานฝ้าเพดาน เพื่อลดความยุ่งยากในการกรีดเปิดฝ้าและเก็บงานในภายหลัง
  3. ท่อระบบแอร์
    ท่อระบบแอร์ (ท่อน้ำยาแอร์และท่อน้ำทิ้งแอร์) ต้องมีคุณภาพและมีความหนาได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ นอกจากนี้ ตัวฉนวนหุ้มท่อระบบแอร์ควรมีขนาดหนากว่าปกติทั่วไป เนื่องจากไอน้ำที่เกาะอยู่รอบๆ ท่อ อาจหยดลงฝ้าเพดานและสร้างความเสียหายแก่ตัวฝ้าได้ ทำให้การเดินท่อน้ำยาแอร์ฝังฝ้าเพดานนั้นมีความยุ่งยากมากกว่าแอร์ชนิดอื่น
  4. การบำรุงรักษา
    เช่นเดียวกับแอร์ประเภทอื่น ๆ แอร์แบบคาสเซ็ทควรมีการทำความสะอาดขั้นต่ำปีละ 1-2 ครั้งในกรณีใช้งานตามบ้านพักอาศัย หากใช้งานในร้านค้าหรือสำนักงานที่มีคนเข้าออกพลุกพล่าน ปริมาณฝุ่นละอองและความสกปรกอาจมีมากกว่าที่พักอาศัยทั่วไป จึงควรล้างทำความสะอาดปีละ 3-4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าไฟเนื่องจากไม่มีสิ่งสกปรกไปอุดตัน

บี.กริม เทรดดิ้ง เราเป็นตัวแทนจำหน่าย Carrier แคเรียร์ แอร์คอนดิชั่น ทางเราพร้อมให้ข้อมูลในการติดตั้ง และข้อมูลสินค้าแอร์ทุกชนิดของ แคเรียร์ หรือสามารถดูข้อมูลสินค้าเราได้ที่ หน้าสินค้าได้เลยค่ะ https://bgrimmtrading.com/product-category/air-conditioners/

สนใจสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242