แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปี 2565 กับการปรับตัวสู่อนาคต
ธุรกิจโรงแรมในปี 2565 กับการปรับตัวสู่อนาคต
เมื่อย้อนดูในปี 2564 ธุรกิจโรงแรมการท่องเที่ยวทั่วโลกจัดว่าซบเซาอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ ในไทยเองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงกว่า 98% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจากประมาณ 39-40 ล้านคนต่อปี เหลือเพียงประมาณ 4 แสนคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศก็ลดลงกว่า 50% คือจาก 170 ล้านทริปเหลือประมาณ 90 ล้านทริป ทำให้อัตราการเข้าพักหรือ Occupancy Rate (OR) ทั้งประเทศลดเหลือเพียง 14% จาก 29.5% ในปีก่อนหน้า รวมทั้งปี 2564 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.84 แสนล้านบาท ลดลง 21% จาก 4.82 แสนล้านบาทในปี 2563
แนวโน้มธุรกิจโรงแรมปี 2565-2568
ในปีนี้การฉีดวัคซีนที่ทั่วถึงมากขึ้นเริ่มส่งสัญญาณที่ดีแก่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการคัดกรองผู้เดินทางมาจากต่างประเทศด้วยโครงการ “Test & Go” หรือ Exemption from Quarantine ที่ไม่ต้องกักตัวไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แนวโน้มธุรกิจโรงแรมเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2565 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวจากทุกประเทศทั่วโลกที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนจะต้องตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT-PCR เมื่อมาถึงประเทศไทยและเข้าพักในโรงแรมที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเป็นเวลา 1 คืนระหว่างรอผล หากผลตรวจเป็นลบก็สามารถเดินทางไปจุดหมายที่ต้องการได้ไม่ต้องกักตัว ซึ่งจากมาตรการดังกล่าว อัตราการเข้าพักกระเตื้องขึ้นไปอยู่ที่ 30% (จาก 60-70% ก่อนการแพร่ระบาด) ประเมิณจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วคาดการณ์ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะมีประมาณ 7.5 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 21 ล้านคนในปี 2566 และ 35 ล้านคนในปี 2567 โดยคาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาที่ระดับเดิมได้ในปี 2568
สำหรับนักท่องเที่ยวไทย ด้วยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่องของภาครัฐทำให้การท่องเที่ยวในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่า โดย Occupancy Rate จะกลับสู่อัตราเดิมก่อนโควิดซึ่งคือ 60% ได้ในปี 2567 ในขณะที่ Occupancy Rate ปีนี้จะโตอยู่ที่ 35% และขยับขึ้นเป็น 45% ในปี 2566
ธุรกิจโรงแรมและการปรับตัวสู่ยุค New Normal
ในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นธุรกิจโรงแรมปรับรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับสังคม New Normal เช่น เน้นการขายอาหารของโรงแรม การเป็นสถานที่กักตัว หรือ Hospitel การหันมาพึ่งพิงการท่องเที่ยวในประเทศ ทำการตลาดศักยภาพเน้นการหารายได้มากกว่าปริมาณโดยการจับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่มีกำลังซื้อ เช่น กลุ่มคนโสด คนวัยทำงาน ผู้สูงวัย และกลุ่มคนไทยที่ชอบท่องเที่ยวต่างประเทศแต่ยังไม่มั่นใจกับการเดินทางออกนอกประเทศ รวมถึงกลุ่ม Expat ที่มีจำนวนกว่า 2 ล้านคน
สำหรับแนวโน้มการทำงาน Work From Home/Work From Anywhere หรือ Workation ทำงานไปด้วย พักผ่อนไปด้วย ตรงนี้อาจเป็นโอกาสของธุรกิจโรงแรม เนื่องจากแม้วิกฤตคลี่คลายลงแล้ว แต่รูปแบบการทำงานแบบ WFH อาจยังคงดำเนินต่อไปแบบ 100% หรือเป็นแบบผสมผสาน (Hybrid Working) บริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ อาจพิจารณาไม่เช่าอาคารสำนักงานแต่จัดหาสถานที่พูดคุยธุรกิจหรือจัดประชุมเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนแทน จึงเป็นโอกาสที่โรงแรมสามารถปรับพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับลักษณะการทำงานดังกล่าว รวมถึงการชูโรงเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สปา ฟิตเนส ห้องอาหาร เพื่อดึงดูดกลุ่มคนทำงานที่ต้องการทำงานไปด้วย พักผ่อนไปด้วย โดยนอกเหนือจากห้องพักแบบค้างคืนแล้ว โรงแรมอาจเสนอแพ็คเกจห้องพักแบบรายชั่วโมงหรือรายวัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และขับเคลื่อนธุรกิจสู่ยุค Hotel 4.0 เช่น การจองห้องพักผ่านแพลตฟอร์มใหม่ลดการใช้เงินสด หรือการเช็คอิน-เช็คเอาท์ด้วยตนเองผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาเช็คอินที่เคาท์เตอร์และลดการสัมผัส รวมถึงการเข้าออกห้องพักโดยใช้สมาร์ทโฟนแทนคีย์การ์ด
แม้ธุรกิจโรงแรมการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด19 และยังต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัวกลับสู่สภาวะเดิม การปรับรูปแบบการให้บริการที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่จะสามารถช่วยให้ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องและไปต่อได้
สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtrading.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3000
Line Official Account : https://lin.ee/ItAW7DS @bgrimmtrading